MovieHDFree

MovieHDFree

MovieHDFree ฉากที่โลกจำ Alan Rickman แสดงฉากหล่นจากยอดอาคารในตอนสุดท้าย Die Hard ได้เหมือนจริง เนื่องจากเขาโดนหลอก

MovieHDFree หนึ่งในผู้แสดงมากมายความสามารถที่คนชอบดูหนังฮอลลีวูดคงจะคิดเห็นเช่นเดียวกันในเรื่องความสามารถการแสดงก็คือ อลัน ริกแมน (Alan Rickman) ดาราหนังผู้ดีอังกฤษ เขาเริ่มอาชีพด้วยการเป็นผู้แสดงละครเวที แล้วก้าวเข้าสู่แวดวงภาพยนตร์ด้วยบท ฮานส์ กรูเบอร์ (Hans Gruber) ใน Die Hard (1988) ริกแมนสามารถทำให้ ฮานส์ กรูเบอร์ เป็นคนร้ายอันดับแรกๆของฮอลลีวูดได้โดยทันที อีกทั้งมีความฉลาดเฉลียว รวมทั้งร้ายลึก ฆ่าคนได้แบบตาไม่กะพริบ ทำให้บท ฮานส์ กรูเบอร์ แจ้งกำเนิดให้ อลัน ริกแมน เปลี่ยนเป็นดาราหนังที่งานชุกคนหนึ่งไปเลย

หน้าที่ ฮานส์ กรูเบอร์ ใน Die Hard ภาคแรกนั้น ริกแมนตีบทตัวร้ายได้แตกแล้วก็เป็นที่จำด้วยเหตุว่าเขาสั่งสมวิชาการเล่นละครเวทีมายาวนาน ต่อให้ในฉากในที่สุด ที่เป็นวาระสุดท้ายของกรูเบอร์ ฉากี้กรูเบอร์ควรต้องหล่นจากยอดอาคารสูงนากาโตไม่ ซึ่งการถ่ายทำจริงๆนั้น ถ่ายกันในสตูดิโอแล้วหลังจากนั้นก็ค่อยนำไปซ้อนภาพเบื้องหลังว่าตกจากยอดอาคารสูง แม้กระนั้นถึงแบบนั้นฉากนี้ดาราหนังก็จำเป็นต้องหล่นจากที่สูงจริง ซึ่งจะต้องเป็นฉากที่สตันท์แมนต้องรับหน้าที่ แต่ว่าเนื่องจากว่าเป็นดาราไฟแรง ริกแมนการันตีขอแสดงฉากนี้เอง

ทางคณะทำงานก็ดูแลความปลอดภัยให้ริกแมนด้วยการพันเชือกนิรภัยไว้กับตัวเขา โดยมีคณะทำงานจับปลายเชือกไว้ 2 ด้าน คณะทำงานนัดกับริกแมนว่า พวกเขาจะนับ 1-2-3 แล้วจะปลดปล่อยตอนนับถึง 3 แล้วร่างของริกแมนจะตกไปกระทบกับเบาะรองรับข้างล่าง 12 เมตร เมื่อก่อนที่จะถ่ายทำฉากนี้ ชาร์ลี ไพเซอร์นี (Charlie Picerni) ผู้ดูแลฉากสตันท์ให้กับกองถ่ายก็มีการตะจัดเตรียมกับคณะทำงาน
“ผมไปกระซิบบอกคณะทำงานไว้ว่าให้ปลดปล่อยเชือกตั้งแต่นับ 1 เลย”
ถ้าเกิดผู้ใดกันแน่จำฉากตอนสุดท้ายนี้ได้ จะนึกออกว่าสีหน้าท่าทางสายตาของกรูเบอร์ตอนหล่นจากอาคารนั้น มองเหมือนจริงมากมาย ใบหน้าแสดงถึงความกลัวจริง โน่นเพราะเหตุว่าฉากนี้ริกแมนมิได้แสดง แต่ว่าเขาตระหนกตกใจจริง

ริกแมนเองย้อนเล่าว่าเขาจำเรื่องราวตอนถ่ายทำฉากนี้มิได้ แม้กระนั้นเขาจำปฏิกิริยาตอบรับของผู้อำนวยการผลิตก้าวหน้า เวลาที่เขายืนกรานว่าจะแสดงฉากนี้เอง
“ผมมองเห็นสายตาที่มองดูผมด้วยความไม่มั่นใจของผู้อำนวยการผลิต ในระหว่างที่ผมพูดว่าจะแสดงฉากนี้เอง”
“แม้กระนั้นพวกเขาก็ระแวดระวังเป็นอย่างมากนะในขณะที่ถ่ายทำ เพราะมันเป็นฉากท้ายที่สุดของเรื่องแล้ว”

โชคร้ายที่ริกแมนจากโลกไปเร็ววัน เขาเสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งตับอ่อนในปี 2016 ด้วยวัย 69 ปี ฝากผลงานแสดงไว้กว่า 70 เรื่อง และก็บทที่คนทั่วทั้งโลกจำเขาได้ดิบได้ดีก็คือ เซเวอรัส สเนป จากแฟรนไชส์ Harry potter นั่นเอง

รีวิว The King’s Man – งานสปินออฟมันๆที่ดุเดือดทั้งยังแอ็กชันแล้วก็ประวัติศาสตร์สงครามโลก

ภายหลังที่ผู้กำกับอย่าง ‘แมทธิว วอห์น’ (Matthew Vaughn) ได้พาพวกเราไปรู้จัก ‘คิงส์แมน’ (Kingsman) หน่วยสืบราชการลับสุภาพบุรุษสุดเยี่ยมที่ไม่ขึ้นตรงต่อหน่วยงานอะไรก็แล้วแต่มีที่ทำการที่ซ่อนไว้ภายใต้ร้านค้าตัดสูทในถนนหนทางซาวิลล์ โรว์ (Savile Row) อังกฤษมาแล้วถึง 2 ภาค ทั้งยัง ‘Kingsman: The Secret Service’ (2015) ที่เน้นย้ำความหล่อโก้เก๋ และก็ ‘Kingsman: The Golden Circle’ (2017) ที่ประหลาดรวมทั้งเปี่ยมลูกบ้า

แต่ว่าตอนนี้ สุภาพบุรุษคิงส์แมนกลับมาอีกทีใน ‘The King’s Man’ หรือ ‘เกิดโคตรเสือคิงส์แมน’ ที่มิได้นับเป็นหนังภาค 3 แม้กระนั้นเป็นภาพยนตร์ Prequel (หรือเรียกว่าเป็น Spin off หรือหนังภาคขยายก็ได้ ด้วยเหตุว่ารายละเอียดมิได้ต่อจากสองภาคที่แล้ว) ที่จะพาย้อนกลับไปยังช่วงสงครามโลกครั้งที่ 1 ค้นหาที่มาความเป็นมาของหน่วยคิงส์แมนที่มีต้นกำเนิดนานนับร้อยปี

ตัวหนังเล่าย้อนไปในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ดยุยงก ‘อ็อกฟอร์ด’ (Ralph Fiennes) ได้สูญเสียเมียไปทันทีทันใดในระหว่างภารกิจส่งสเบียงให้กับทหาร เขาให้คำมั่นสัญญากับเมียว่าจะคุ้มครองปกป้องลูกชายผู้เดียวอย่าง ‘คอนราด’ (Harris Dickinson) ผู้มีความปรารถนาว่าต้องการจะเป็นทหารไม่ให้ร่วมรบ กระทั่งเมื่อเกิดเหตุลอบฆ่าพระราชาธิราชที่ออสเตรีย แปลงเป็นชนวนเหตุที่สงครามโลกครั้งที่ 1 อันเป็นแผนของ ‘คนเลี้ยงแกะ’ ที่รอชักใยการบ้านการเมืองของประเทศร่วมการสู้รบอยู่เบื้องหน้าเบื้องหลัง ดยุยงกอ็อกฟอร์ดก็เลยได้เปิดเผย “โครงข่ายขี้ข้า” ที่รอสืบหาข่าวกรองทั่วทุกมุมโลก ที่มีแม่บ้านอย่าง ‘พอลลี’ (Gemma Arterton) รวมทั้ง ‘โชลา’ (Djimon Hounsou) คนขับรถรถม้าเป็นพวกลับๆให้คอนราดได้รับทราบ ซึ่งโครงข่ายนี้นี่แหละเป็นแหล่งกำเนิดที่จะเปลี่ยนไปเป็นหน่วย Kingsman ในเวลาถัดมา betflixdc

แม้ว่าจะเป็นหนังที่เป็นภาคต่อจาก Kingsman ทั้งคู่ภาค แต่ว่าก็จำเป็นต้องขอเบรกเอี๊ยดก่อนครับ หากว่าต้องการจะไปดูแอ็กชันมันๆล้ำๆเปี่ยมลูกบ้า หรือต้องการไปดูความนำสมัยโก้เยี่ยมเฉียบคมในแบบสองภาคก่อนหน้าที่ผ่านมา เนื่องจากตัวหนังหัวข้อนี้เป็นหนัง Prequel ที่พาย้อนไปพบตำนานแหล่งกำเนิดของหน่วยข่าวกรองคิงส์แมนแบบจริงๆจังๆโปรดักชันออกแบบโดยรวมก็เลยพาย้อนไปในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 แบบแจ่มกระจ่างซะจนกระทั่งเกือบจะไม่หลงเหลือภาพของหนังแอ็กชันล้ำๆแล้วก็พล็อตเปี่ยมลูกบ้าราวกับอย่างสองภาคก่อนหน้าเลยแม้แต่น้อย แต่ว่าแทนที่ด้วยการเล่าเรื่องแบบหนังแอ็กชันที่ผสมเนื้อหาเกี่ยวกับการบ้านการเมือง การทำศึก รวมทั้งพรีเซ็นท์ผ่านเรื่องราวของสายอังกฤษอดีตกาลขนานแท้

สิ่งที่เป็นลักษณะเด่นอย่างเห็นได้ชัดของหนังหัวข้อนี้ก็คือการถือเรื่องราวประวัติศาสตร์ตอนสงครามโลกมาแปลความหมายใหม่และก็ดัดแปลงแก้ไขได้อย่างสะดุดตาและก็กลมกลืนมากมายๆครับผม นอกจากว่าจะจับเอาเกร็ดประวัติศาสตร์ที่มีอยู่จริง และการใส่บุคคลที่มีอยู่จริงในประวัติศาสตร์ อย่างเช่นจักรพัตราธิราช กษัตริย์ ผู้นำ รวมทั้ง ‘รัสปูตำหนิน’ (Rhys Ifans) ผู้ฉาวโฉ่ หรือแม้กระทั้งดยุยงกอ็อกฟอร์ดเองก็ได้แรงจูงใจจาก ‘หนอี ลอว์เรนซ์’ (T. E. Lawrence) สายอังกฤษยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 ที่มีตัวตนอยู่จริง

และก็การปรับปรุงแก้ไขดัดแปลงสถานะการณ์ที่เกิดขึ้นจริง ยกตัวอย่างเช่นการล่มสลายของจักรวรรดิรัสเซียด้วย ถึงแม้ว่าตัวหนังจะเล่าเกร็ดประวัติศาสตร์เอาไว้แบบหละหลวมๆแต่ว่าก็ไม่ใช่แค่การเล่าประวัติศาสตร์ที่เอามาจับคู่กับตำนานสายคิงส์แมนที่เกิดเรื่องแต่ง ก่อนจะเบาๆเฉลยคำตอบแหล่งที่มานิดๆหน่อยๆของสิ่งต่างๆที่เกี่ยวพันกับหน่วยคิงส์แมน (ที่ผู้ชมภาคก่อนๆแล้วคงจะเก็ต) เพียงเท่านั้น

รีวิว Spider-Man : No Way Home มัลติเวิร์สปีเตอร์ ปาร์คเกอร์ ฮือฮา ร้องไห้ แล้วก็เซอร์ไพรส์แฟนบอยขั้นสุด!

เรื่องย่อ เป็นครั้งแรกที่ ‘Spider-Man’ ไม่ต้องหลบซ่อนใต้หน้ากากอีกต่อไป รวมทั้งเขาไม่สามารถที่จะแยกชีวิตในฐานะซูเปอร์ฮีโรออกมาจากชีวิตธรรมดาได้อีกต่อไป เมื่อเขาไปขอให้ด็อกเตอร์สเตรนจ์ช่วยเหลือ แม้กระนั้นมันกลายเป็นวุ่นวายกว่าเดิม บังคับให้เขาต้องหาแนวทางแก้ไขแล้วก็ใส่ความหมายของการเป็นสไปเดอร์แมน หนังประเด็นนี้จะชี้แนะสิ่งที่เรียกว่า Multiverse ในจักรวาลมาร์เวลอย่างเป็นทางการ พร้อมๆกับคนร้ายจากทั้งยัง ‘Spider-Man’ รวมทั้ง ‘The Amazing Spider-Man’ ก็จะมาปรากฎตัวด้วยด้วยเหมือนกัน

ดูอย่างกับว่าชะตาชีวิตของเพื่อนบ้านผู้แสนดีอย่าง ‘สไปเดอร์-แมน’ จะเริ่มขยายตัวใหญ่ขึ้นเรื่อยขึ้นทุกครั้งๆขอรับ ภายหลังที่รับงานฮีโรระดับเบอร์รองมาแล้วใน 2 ภาคก่อน ภาคนี้ในฐานะที่เป็นหนังในตอนต้นของ MCU ในเฟส 4 ที่กำลังเดินหน้าปูพื้นเรื่องราวแบบ ‘พหุจักรวาล’ หรือ ‘มัลติเวิร์ส’ (Multiverse) เพื่อขยายขอบเขตกรรมวิธีเล่าให้กว้างกว่าแนวแอ็กชันแบบเดิม ซึ่งในช่วงเวลานี้มีซีรีส์ใน Disney+ ที่ปูพื้นประเด็นนี้ไว้ก่อนแล้วทั้งยัง ‘Loki’ รวมทั้งแอนิเมชัน ‘What If…? ‘ ซึ่งซีรีส์ทั้งคู่หัวข้อนี้เป็นตัวสรุปอย่างเห็นได้ชัดว่า มัลติเวิร์สเป็นแกนหลักสำคัญรวมทั้งความอลหม่านครั้งใหญ่ที่เหล่าฮีโรจะต้องจัดการให้ได้ ซึ่งในหนังหัวข้อนี้ก็ดูอย่างกับว่าความอลหม่านนั้นได้ประจักษ์ขึ้นเป็นตัวเป็นตนแล้ว แล้วก็ไอ้แมงมุมก็ถือได้ว่าฮีโรตัวแรกๆที่จำต้องรับผลที่ความปั่นป่วนนี้แบบชัดๆ

ส่วนเรื่องราวในภาคนี้ก็จะเล่าต่อจาก End Credits ตัวแรกที่ทิ้งไว้ในภาคก่อนหน้า (Spider-Man : Far From Home (2019)) ซึ่งถ้าหากคนไหนที่ยังมิได้มอง ก็จะต้องขอเบรกให้ไปพบดูซิให้เป็นระเบียบก่อนครับ (ทั้งคู่ภาคมีให้มองใน HBO GO) เนื่องจากว่าเรื่องราวของภาคนี้จะเริ่มมาจาก End Credits ตัวนั่นแหละ ภายหลังที่สไปเดอร์แมนสามารถล้ม ‘มิสเทริโอ’ (Jake Gyllenhaal) ได้เสร็จ

มิสเทริโอก็วางระเบิดตูมท้ายที่สุดด้วยการปลดปล่อยคลิปเฟกนิวส์ผ่านหน้าจอ แอลอีดี ที่ยัดเยียดข้อหาว่าปีเตอร์เป็นคนฆ่าเขาอย่างขาดความกรุณาปรานี ใส่ร้ายว่าปีเตอร์โอ่อ้างจะเป็นไอรอนแมนคนต่อไป ข่าวสารนี้ยังไปถึงหู ‘เจ. โจนาห์ เจมส์สัน’ (J.K. Simmons) ผู้รายงานข่าวสำนักข่าวออนไลน์ TheDailyBugle.net ออกมาเปิดโปง (จากข้อมูลของมิสเทริโอ) กระทั่งทำให้คนทั่วทั้งโลกรู้กันไปทั่วว่าสไปเดอร์แมนเป็นปีเตอร์ ปาร์คเกอร์